|
รมช.คลัง เตรียมแก้ไขกฎหมายจัดตั้งองค์กรเพื่อให้บสย.เข้าถึงเอสเอ็มอีชุมชน รากหญ้า เปลี่ยนชื่อจากอุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นธุรกิจขนาดย่อม พร้อม เพิ่มวงเงินค้ำประกันเพิ่มเป็น 5 แสนล้านบาท ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ส่งผลสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อได้ถึง 1 ล้านล้านบาท นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากการที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทำยอดได้ถึง 60,000 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากแนวโน้มดังกล่าวเห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และการทำงานของบสย.ได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น จึงได้กำหนดเป้าหมายใหม่ให้ บสย.ค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการในวงเงินเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า เพราะจะทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อออกสู่ระบบได้ถึง 1 ล้านล้านบาท แต่การค้ำประกันสินเชื่อให้มากขึ้นต้องทำการแก้ไขกฎหมายการจัดตั้งองค์กร เพื่อให้ค้ำประกันสินเชื่อเข้าถึงทุกกลุ่มทั้งผู้ประกอบการอุตสาหกรรม วิสาหกิจชุมชน ระดับรากหญ้า ด้วย การเปลี่ยนแปลงภารกิจและเปลี่ยนชื่อ บสย.จากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาเป็น บรรษัทประกันสินเชื่อธุรกิจขนาดย่อม (บสย.)แทน ด้านนายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า จากที่ บสย. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 1 ในปี 2552 วงเงินค้ำประกัน 30,000 ล้านบาท และโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 2 ในปี 2553 วงเงินค้ำประกัน 30,000 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 60,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บสย.จับมือกับธนาคารพาณิชย์เอกชน 16 แห่ง และธนาคารของรัฐอีก 4 แห่ง ให้การค้ำประกันสินเชื่อกับผู้ประกอบการ SMEs ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 17,625 ราย วงเงินค้ำประกัน 60,000 ล้านบาท ทำให้ SMEs ได้รับสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 112,167.61 ล้านบาท ลดปัญหาการเลิกจ้างงาน และก่อให้การเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 30,245 ราย ทำให้มีการจ้างงานในระบบรวมทั้งสิ้น 293,624 ราย โดยกลุ่มธุรกิจที่ บสย. ให้การค้ำประกันสูงสุด 3 ลำดับแรกได้แก่ ลำดับที่ 1 การบริการ ลำดับที่ 2 การผลิตสินค้าและการค้าอื่น ๆ และลำดับที่ 3 อาหารและเครื่องดื่ม ที่มา : ผู้จัดการออนไลท์
|